Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - Beer625

Pages: 1 ... 144 145 [146]
2176
วิจัยกรุงศรีคาดผลขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน กด GDP ไทยปีนี้ลงจากกรณีฐาน 0.4-2.4%

วิจัยกรุงศรี รายงานว่า วิกฤตราคาพลังงานผลพวงจากสงครามรัสเซียกับยูเครน กดดันความเชื่อมั่นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจเดือนก.พ. 65 อ่อนแอลง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 43.3 จาก 44.8 เดือนม.ค. เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนก.พ. ปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนที่ 86.7 จาก 88.0 ในเดือนม.ค.

ทั้งนี้ ปัจจัยลบมาจากความกังวลจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนที่เพิ่มขึ้นสูง อาจกระทบต่อกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศชะลอลง ราคาพลังงานที่สูงขึ้นมาก กระทบต่อต้นทุนการผลิตค่าขนส่ง และเพิ่มภาระค่าครองชีพจากราคาสินค้าที่ทยอยปรับขึ้น

วิจัยกรุงศรี ประเมินฉากทัศน์ (scenario) ความเป็นไปได้ ของผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนจำแนกเป็น 3 กรณี ได้แก่

1. การสู้รบยุติภายในเดือนมี.ค. ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกแบนการค้าและธุรกรรมทางการเงินของรัสเซียบางส่วนไปจนถึงสิ้นปีนี้

2. การสู้รบยืดเยื้อไปจนถึงไตรมาส 2/65 ทำให้ชาติตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงมากขึ้น มีการแบนสินค้าที่ไม่ใช่พลังงานจากรัสเซียทั้งหมด

3. การสู้รบยืดเยื้อและขยายขอบเขตไปยังประเทศอื่นจนถึงกลางปี 65 ชาติตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตรรุนแรงมากขึ้น ทำให้รัสเซียตอบโต้ด้วยการยุติการส่งออกสินค้าพลังงานไปยังยุโรป จนนำไปสู่วิกฤตพลังงานขึ้นในยุโรป โดยช่องทางการส่งผ่านผลกระทบหลักมีทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ การค้าและการขนส่ง ความมั่นคงด้านพลังงาน เสถียรภาพด้านราคา และผลจากรายได้และตลาดการเงิน

ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรี ใช้แบบจำลอง Dynamic Stochastic General Equilibrium (DSGE) คำนวณหาผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย โดยผลต่อไทย พบว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ในกรณีฐาน 0.4% 1.1% และ 2.4% ตามลำดับ ส่วนอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวกว่าที่คาดไว้ 1.4% 2.3% และ 3.5% ตามลำดับ ขณะที่ปริมาณการส่งออก ลดลงจากกรณีฐาน 1.1% 3.0% และ 4.7% ตามลำดับ

ในส่วนของผลต่อภาคอุตสาหกรรม พบว่า อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้าง ภาคขนส่ง โรงกลั่นน้ำมัน การขนส่งทางเรือ และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล่านี้มีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าโลหะและพลังงาน

ส่วนอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ ธุรกิจน้ำตาล เสื้อผ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องหนัง โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้ประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้นและการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion)

นอกจากนี้ ล่าสุดแรงกดดันจากราคาพลังงานยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากทางการเตรียมปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มในภาคครัวเรือนเป็น 333 บาทต่อถัง 15 กก. (เริ่ม 1 เม.ย. 65) และการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (FT) ในงวดเดือนพ.ค.

ส่วนแนวทางในการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตราคาพลังงาน ทางการเผยเตรียมให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (13.5 ล้านคน) ได้แก่ 1. เพิ่มวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม จาก 45 บาท/คน/3 เดือน เป็น 100 บาท/คน/ 3 เดือน และ 2. ช่วยเหลือค่าน้ำมันเบนซินสำหรับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนในกลุ่มผู้ถือบัตรฯ

2177
ไทย-เยอรมนี ขับเคลื่อนกลไกการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดปัญหาโลกร้อน

(จากซ้าย) ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และนายฮานส์ อูลริช ซูดเบค อุปทูตและหัวหน้าแผนกเศรษฐกิจประจำสถานทูตเยอรมนี กรุงเทพฯ

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ร่วมกับโครงการด้านนโยบาย ภายใต้แผนงานความร่วมมือไทย - เยอรมัน ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) จัดการประชุมสัมมนากลไกการเงินด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ "Thailand Climate Finance Conference: From International to Domestic Mechanism" เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางการเงินและการลงทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบกลไกทางการเงินด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนเกี่ยวกับความท้าทาย ช่องว่างและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำรวมทั้งความต้องการขอรับการสนับสนุนในการพัฒนาและการลงทุนในเทคโนโลยีที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการเชิงลึก

การประชุมครั้งนี้ เปิดเวทีให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้แลกเปลี่ยนแนวคิดการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย โดยในช่วงการเสวนาได้รับเกียรติจากผู้แทนหน่วยงานที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนกลไกการเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย กองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (สผ.) ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) โดยมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาชน สื่อมวลชน และองค์กรอิสระกว่า 200 คน

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ให้เกียรติกล่าวปาฐกถาพิเศษและเน้นย้ำว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสและช่องว่างสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการสร้างงานจากเศรษฐกิจสีเขียวอีกมาก ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles - EVs) อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมการผลิตโดย reuse หรือ recycle วัตถุดิบ อุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกและพลังงานทดแทน หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมเกษตร เช่น การปลูกข้าวปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ การผลิตโปรตีนทางเลือก และการผลิตอาหารสัตว์ที่ดีต่อระบบย่อยอาหารของสัตว์และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวในทุกภาคส่วนและทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนการลงทุนให้สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจสีเขียว สร้างมูลค่าเพิ่มและความเข้มแข็งในการแข่งขันทั้งในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี การศึกษา กระบวนการผลิตสินค้า และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ทั้งนี้ เรายังต้องการการสนับสนุนจากต่างประเทศอีกมากทั้งในด้านการเงิน การลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาศักยภาพ โดยเฉพาะในเทคโนโลยีระดับสูงที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำหรือลดก๊าซเรือนกระจก และทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาชนและประชาสังคมควรตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ซึ่งตอนนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ก่อนที่เราจะไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้เลย

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยงานประสานงานกลางของประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ และการเข้าถึงกลไกทางการเงินเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศต่อประชาคมโลกในการมุ่งบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2065 การประชุมครั้งนี้ จึงมุ่งหวังให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบกลไกทางการเงินด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแหล่งเงินทุนเพื่อการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนเกี่ยวกับความท้าทายในการพัฒนาธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ และความต้องการรับการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อให้สามารถแข่งขันและพัฒนาธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำได้

ด้านนายฮานส์ อูลริช ซูดเบค อุปทูตและหัวหน้าแผนกเศรษฐกิจประจำสถานทูตเยอรมนี กรุงเทพฯ ซึ่งได้ให้เกียรติมากล่าวต้อนรับ ได้แสดงให้เห็นว่า นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญในการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของโลก การทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องดำเนินควบคู่กัน ไม่ใช่แค่ประเทศไทยกับเยอรมนี ที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนานถึง 160 ปี แต่ยังหมายรวมถึงสหภาพยุโรป และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนด้วยที่ต้องร่วมกันจัดการวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต้องการทิศทางที่ชัดเจนจากนโยบายสาธารณะที่สนับสนุนศักยภาพที่แท้จริงของภาคเอกชนและภาคประชาชน

ดังนั้น การพูดถึงเรื่อง Climate Finance จึงมิใช่เพียงแค่เรื่องงบประมาณจากภาครัฐเท่านั้น แต่ควรเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการออกแบบนโยบายและแรงจูงใจที่เหมาะสม เพื่อเป็นตัวเร่งให้เกิดการปรับการลงทุนของภาคเอกชน อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม

2178
ครม.ไฟเขียวปลดล็อกเพดานกู้กองทุนน้ำมันฯ เพิ่มความคล่องตัวบริหารราคาพลังงาน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 65 ที่เห็นชอบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 3/64 เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 64 ในส่วนของแผนรองรับวิกฤตการณ์ ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉ. ปรับปรุง ครั้งที่ 1) และแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีมติเห็นชอบร่างแผนรับรองวิกฤติด้านน้ำมันเชื้อเพลิงฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ทบทวนหลักเกณฑ์การบริหารกองทุนน้ำมันฯ ยกเลิกการกำหนดวงเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯ รวมวงเงินกู้ยืมต้องไม่เกิน 40,000 ล้านบาท จากเดิมที่แผนรองรับวิกฤติฯ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ระบุการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ต้องมีจำนวนเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้แล้วต้องไม่เกิน 40,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี จะมีการออกร่าง พ.ร.ฎ. เพื่อแก้ไขกรอบวงเงินดังกล่าวต่อไป รวมทั้งยังได้มีการปรับกลยุทธ์การถอนกองทุนน้ำมันฯ (Exit Strategy) โดยให้ยกเลิกการปรับสัดส่วนการช่วยเหลือลงครึ่งหนึ่ง เมื่อฐานะกองทุนน้ำมันใกล้ติดลบตาม พ.ร.ฎ. ขยายกรอบวงเงินฯ กู้ เป็น 30,000 ล้านบาท แต่ยังคงดำเนินการหารือการปรับลดภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ระดับราคาไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนักและเริ่มดำเนินการกู้เงินเพื่อให้กองทุนน้ำมันไม่ขาดสภาพคล่อง

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงแผนรองรับวิกฤติการณ์ ในส่วนของหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และให้มีเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

 

2179
MICHELIN Pilot Sport 4S K1 และ MICHELIN Pilot Sport Cup 2R K2 ยางสองรุ่นที่ผลิตขึ้นเพื่อซูเปอร์คาร์ Ferrari 296 GTB โดยเฉพาะ


ยางสองรุ่นนี้ผลิตมาเพื่อการใช้งานสองรูปแบบ สำหรับบนถนนทั่วไปและสนามแข่ง โดยเป็นรุ่นที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ Ferrari 296 GTB
ทุ่มเทพัฒนากว่า 18 เดือนเพื่อนำเสนอสมรรถนะที่สมบูรณ์แบบควบคู่ไปกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จากโครงการที่พัฒนาร่วมกับทีมเฟอร์รารี่ โดยใช้เทคโนโลยีการจำลองสถานการณ์เสมือนจริง
เฟอร์รารี่วางใจเลือกมิชลินให้เป็นตัวแทนจัดหายางรถยนต์อย่างเป็นทางการสำหรับ Ferrari 296 GTB ซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ของเฟอร์รารี่ ซึ่งมิชลินได้ส่งมอบยางยางสมรรถนะสูงพิเศษที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันให้สองรุ่น คือ MICHELIN Pilot Sport 4S K1 สำหรับการขับขี่บนท้องถนนเป็นหลัก และ และ MICHELIN Pilot Sport Cup 2R K2 ยางสำหรับสนามแข่งที่ใช้งานบนถนนทั่วไปได้ (Road Legal Tires) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดของรถในสนามประลองความเร็ว

เฟอร์รารี่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของรถให้ดีกว่ารุ่นก่อนหน้าเสมอในทุกครั้งที่มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ มิชลินเองก็ยึดถือแนวคิดเดียวกันและทำงานร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์รายนี้มายาวนานเพื่อออกแบบและผลิตยางแบบพิเศษให้กับรถเฟอร์รารี่

สมรรถนะ
สำหรับยานยนต์ที่เหนือชั้นเช่นนี้ สมรรถนะของยางมีความสำคัญมากกว่าประโยชน์ใช้สอยทั่วไป โดยในการพัฒนาสมรรถนะให้ถึงขีดสุดนี้จะต้องคำนึงถึงทั้งความปลอดภัย ความแม่นยำ และความเพลิดเพลินในการขับขี่ รวมถึงต้องมีความมีสอดคล้องกลมกลืนกับรูปโฉมของยานพาหนะด้วย

พัฒนาขึ้นตามความต้องการพิเศษ
ยางสำหรับ Ferrari 296 GTB ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษภายใต้ความร่วมมือกับทีมงานของเฟอร์รารี่ และมีความโดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ 'K' ซึ่งปรากฏอยู่ที่แก้มยาง โดยการออกแบบพิเศษตามสั่งนี้เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้ได้สมรรถนะตามเกณฑ์ที่เฟอร์รารี่กำหนด

ทีมงานของมิชลินมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ทันทีภายหลังจากที่ได้รับทราบข้อกำหนดต่าง ๆ ในทางเทคนิค โดยกว่าที่จะพัฒนามาเป็นยางที่พร้อมจำหน่ายแบบนี้ได้นั้น ต้องผ่านกระบวนการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์มาถึงสี่รอบ และใช้ระยะเวลาในการออกแบบยางอีก 18 เดือน

การนำซอฟต์แวร์จำลองสถานการณ์เสมือนจริงที่ล้ำสมัยมาใช้ในโครงการนี้มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากทำให้สามารถลดจำนวนการผลิตยางต้นแบบสำหรับใช้ในการทดสอบลงได้ รวมถึงลดจำนวนครั้งในการทดสอบกับรถจริง และย่นระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนายางนอกจากนี้การจำลองสถานการณ์เสมือนจริงยังช่วยให้สามารถปรับแต่งยางให้เข้ากับรถได้อย่างแม่นยำมากขึ้นด้วย

โดยในระหว่างที่ทำการทดสอบ ซึ่งบางส่วนจัดขึ้นที่สนามแข่งฟีโอราโน (Fiorano) ในอิตาลี มิชลินได้บันทึกข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ เก็บไว้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มสมรรถนะให้อยู่ในระดับสูงเป็นพิเศษทั้งในด้านการยึดเกาะถนน ความนุ่มนวล และความแม่นยำในการขับขี่

เออร์เว ชาร์บอเนล วิศวกรพัฒนายางของมิชลิน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการ Ferrari 296 GTB ตัวใหม่นี้เอาไว้ว่า "มันเป็นความท้าท้ายและประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก ความต้องการของทีมวิศวกรจากเฟอร์รารี่ทำให้เราต้องใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการพัฒนายาง MICHELIN Pilot Sport 4S K1 และ MICHELIN Pilot Sport Cup 2R K2 และด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคในการจำลองสถานการณ์เสมือนจริงของมิชลิน เราจึงสามารถเพิ่มขีดจำกัดในการยึดเกาะถนนได้ไม่ยาก ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพหน้ายางแบบใหม่ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งความแม่นยำและประสบการณ์การขับขี่ในแบบสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเฟอร์รารี่"

ยางสองรุ่นเพื่อการใช้งานสองรูปแบบ
มิชลินได้พัฒนาส่วนประกอบใหม่สองแบบและนำสองเทคโนโลยีพิเศษมาใช้พัฒนายางรถยนต์สำหรับรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยในขั้นตอนเหล่านี้เราปฏิบัติตามแนวทางด้านความยั่งยืนทั้งหมดของเรา ได้แก่ ลดจำนวนวัตถุดิบที่ใช้ ลดแรงต้านการหมุนของล้อ ลดจำนวนการผลิตยางสำหรับทดสอบ และลดจำนวนครั้งที่ทดสอบกับรถจริง

MICHELIN Pilot Sport 4S K1 ยางเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ยางรุ่นนี้ได้รับการยอมรับในด้านสมรรถนะบนท้องถนนและเหมาะสำหรับการใช้งานในสนามแข่งเป็นครั้งคราว โดยมีคุณสมบัติช่วยให้รถมีความสมดุลในการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างที่ต้องการ และมอบความเพลิดเพลินในการขับขี่พร้อมด้วยอายุการใช้งานที่ยืนยาว หน้ายางผลิตขึ้นจากส่วนประกอบของยางหลายชนิดรวมกัน ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้เป็นการนำส่วนประกอบที่แตกต่างกันสี่อย่างมารวมเข้าด้วยกัน (ในยางล้อหน้าสองชนิดและยางล้อหลังสองชนิด) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะสูงสุดและมอบการขับขี่ที่แม่นยำในสภาพถนนแห้งควบคู่ไปกับการยึดเกาะอย่างปลอดภัยในสภาพถนนเปียก
ยางสำหรับสนามแข่งที่ใช้งานบนถนนทั่วไปได้ MICHELIN Pilot Sport Cup 2R K2 เอาใจผู้ที่ชื่นชอบความรู้สึกตื่นเต้นในการขับขี่ด้วยข้อดีของการผสมผสานส่วนประกอบของเนื้อยางในแบบพิเศษที่มี Function Elastomers ช่วยเพิ่มความเป็นอันหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือรองรับแรงเหวี่ยงได้ดีบนถนนแห้งทำให้เข้าโค้งได้เร็ว มีการทรงตัวที่ดีเยี่ยมแม้ขับขี่ด้วยความเร็วสูง เสริมประสิทธิภาพให้ความต้านทานการหมุนของล้อ และเพิ่มการยึดเกาะพื้นผิวถนนที่เปียก
ยางทั้งสองรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมที่มิชลินเป็นผู้คิดค้นและพัฒนา:

เข็มขัดรัดหน้ายางแบบไฮบริดที่ประกอบด้วยอะรามิดและไนลอน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมการส่งกำลัง (Hybrid Aramid and Nylon belt)
เทคโนโลยีผสานเนื้อยางสองสูตรในหนึ่งเดียว (Multi compound technology)
เทคโนโลยีนวัตกรรมโครงสร้างภายใน (Wavy Summit)
ตัวเลือกยาง
ยางหน้า: 245/35ZR20 (95Y) XL TL PILOT SPORT 4 S K1
ยางหลัง: 305/35ZR20 (107Y) XL TL PILOT SPORT 4 S K1
หรือ
ยางหน้า: 245/35 ZR20 (95Y) XL TL PILOT SPORT CUP 2 R K2
ยางหลัง: 305/35 ZR20 (107Y) XL TL PILOT SPORT CUP 2 R K2

2180
ซีเล็คฉลองครบรอบ 30 ปี เปิดศักราชด้วยผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ "ซีเล็คทูน่าในน้ำมันมะกอก"

แบรนด์ซีเล็ค (SEALECT) ภายใต้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ฉลองครบรอบ 30 ปี ส่งผ่านสิ่งดี ๆ แทนคำขอบคุณลูกค้า ด้วยการเดินหน้ามอบอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง เปิดศักราชใหม่ เปิดตัว "ซีเล็คทูน่าในน้ำมันมะกอก"

เริ่มต้นจากความใส่ใจ คัดเลือกทูน่าสายพันธุ์ เยลโล่ฟิน ที่มีความพรีเมียม เนื้อนุ่ม มีสีออกขาว เหลืองทอง น่ารับประทาน และได้คัดสรรน้ำมันมะกอกคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม นำเข้าจากยุโรป ซึ่งน้ามันมะกอก เป็นไขมันดี มีประโยชน์ต่อระบบไหลเวียนโลหิตที่มีผลต่อหัวใจ ระบบการเผาผลาญของร่างกาย และระบบการย่อยอาหาร นอกจากนั้น ซีเล็คทูน่าในน้ำมันมะกอก เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรก ในตลาดอาหารกระป๋องสำเร็จรูปในประเทศไทย ที่ได้รับเครื่องหมาย "ทางเลือกเพื่อสุขภาพ" จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่รับรองเรื่องสารอาหารและเป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์นี้มีปริมาณน้ำตาล ไขมันและโซเดียมผ่านเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร

ซีเล็คทูน่าในน้ำมันมะกอก มีความพิเศษ คือ เนื้อนุ่ม รสชาติอร่อยเลิศ และเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมรับประทานได้ทันที นำไปปรุงอาหารได้หลากหลาย สามารถใช้น้ำมันมะกอกในกระป๋องแทนน้ำมันพืชทั่วไป หรือนำไปปรุงเป็นเมนูพาสต้า สลัด แซนวิชขนมปัง ได้เช่นกัน

"ซีเล็คทูน่าในน้ำมันมะกอก ความอร่อยใหม่! ได้ใจเพียว ๆ" มีวางจำหน่ายแล้ว ใน 7-Eleven, Lotus's, Big C, Tops, The Mall, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ รวมถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ และสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ด้วยเช่นกัน

2181
IMF เตือนรัสเซียอาจผิดนัดชำระหนี้ แต่ไม่จุดชนวนวิกฤตการเงินโลก

นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมากล่าวเตือนในวันอาทิตย์ (13 มี.ค.) ว่า รัสเซียอาจผิดนัดชำระหนี้หลังนานาประเทศพร้อมใจกันออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียโทษฐานรุกรานยูเครน แต่กรณีดังกล่าวจะไม่นำไปสู่วิกฤตการณ์การเงินโลก

ทั้งนี้ นางจอร์เจียวาได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ "Face the Nation" ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า มาตรการคว่ำบาตรที่ประกาศใช้กับรัสเซียของสหรัฐและประเทศประชาธิปไตยต่าง ๆ ได้ส่งผลกระทบ "รุนแรง" ต่อเศรษฐกิจรัสเซียแล้ว และจะทำให้เศรษฐกิจรัสเซียถดถอยอย่างหนักในปีนี้

นางจอร์เจียวาระบุว่า สงครามในยูเครนและมาตรการคว่ำบาตรจะสร้างแรงกระเพื่อมไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่พึ่งพาพลังงานของรัสเซียอีกด้วย และกล่าวเสริมว่า มาตรการคว่ำบาตรจำกัดความสามารถของรัสเซียในการเข้าถึงทรัพยากรของประเทศและบริการด้านการชำระหนี้สินของประเทศ ซึ่งหมายความว่าการผิดนัดชำระหนี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ "เป็นไปไม่ได้" อีกต่อไปแล้ว

อย่างไรก็ดี นางจอร์เจียวายืนยันว่า สำหรับในขณะนี้ การผิดนัดชำระหนี้ของรัสเซียจะยังไม่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก โดยความเกี่ยวข้องทั้งหมดของธนาคารกับรัสเซียคิดเป็นเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้จะเป็นเงินจำนวนมาก แต่ก็ไม่นับว่ามีนัยสำคัญต่อระบบการเงินโดยรวม

นางจอร์เจียวายังกล่าวด้วยว่า มีเพียงรัฐบาลยูเครนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเงินทุนในบัญชีพิเศษ หลังถูกถามว่ารัสเซียจะสามารถเข้าถึงเงินทุนฉุกเฉินวงเงิน 1.4 พันล้านดอลลาร์ที่ IMF อนุมัติให้กับยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหรือไม่ หากรัสเซียชนะสงครามและจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่

2182
JAS ASSET ร่วมทุน โรงพยาบาลวิมุต เปิดตัวบิ๊กโปรเจกต์ 'SENERA VIMUT HEALTH SERVICE' ทุ่มงบกว่า 40 ล้าน! ตอบรับประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว

บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท วิมุต เวลเนส เซอร์วิส จำกัด ภายใต้การดำเนินงานของโรงพยาบาลวิมุต ในเครือ พฤกษาโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จัดงานพิธี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) เพื่อดำเนินการจัดตั้ง 'SENERA ViMUT HEALTH SERVICE' โครงการศูนย์ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพสำหรับครอบครัวและผู้สูงอายุ โดยตั้งอยู่ภายในพื้นที่โครงการ SENERA SENIOR WELLNESS ถนนคู้บอน เพื่อตอบโจทย์การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ในด้านการป้องกัน ฟื้นฟูสุขภาพ และการให้การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงและพึ่งพิงสูง โดยภายในงาน ยังได้รับเกียรติจาก นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) และ นายแพทย์ กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล กรรมการบริษัท วิมุต เวลเนส เซอร์วิส จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ท่ามกลางสักขีพยาน ณ โรงพยาบาล วิมุต พหลโยธิน กรุงเทพมหานคร

ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว มีอัตราการเติบโตเป็นอันดับ 3 ในทวีปเอเชีย รองจาประเทศเกาหลีใต้ และประเทศญี่ปุ่น โดยประเทศไทยได้เข้าใกล้สังคมผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 และในปัจจุบันปี พ.ศ. 2565 สำนักงานสถิติแห่งชาติ เคยคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว และในปี พ.ศ. 2573 ถึงร้อยละ 26.9 ของประชากรทั้งประเทศ ประเทศไทยได้จัดให้ความสำคัญในการดูแลสังคมผู้สูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ และเร่งรัดเพื่อให้เกิดความพร้อมในเรื่องนี้ในทุกภาคส่วน จึงเป็นจุดริเริ่มของโครงการศูนย์ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพสำหรับครอบครัวและผู้สูงอายุ 'SENERA ViMUT HEALTH SERVICE' แห่งนี้เพื่อเป็นต้นแบบในการขยายโครงการต่อไปในอนาคต

นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ' บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ระดับแถวหน้า ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย มีความเชี่ยวชาญในการสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ เราใส่ใจให้ความสำคัญในกลุ่มชุมชน ครอบคลุมทุก เจนเนอเรชั่น ทั้งกลุ่มคนวัยทำงาน กลุ่มครอบครัว และยังได้ริเริ่มเข้าถึงในกลุ่มผู้สูงอายุโดยมุ่งเน้นในการดูแลด้านสุขภาพ ในปัจจุบันด้วยการดำเนินชีวิตที่รีบเร่ง แต่ละครอบครัวต่างมีภาระหน้าที่รับผิดชอบ ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่มีเวลาดูแลคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้สูงอายุที่ต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง ซึ่งอาจจะเกิดภาวการณ์เจ็บป่วย หรือต้องการคนดูแลใส่ใจเป็นพิเศษ เราเริ่มจัดตั้งโครงการ SENERA SENIOR WELLNESS โครงการที่ตอบโจทย์ความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ โครงการแรกของประเทศไทยที่ติดกับคอมมูนิตี้มอลล์ (JAS GREEN VILLAGE) ซึ่งโครงการฯเองได้มีการออกแบบก่อสร้างตามแบบมาตรฐานข้อกำหนดใหม่ที่กฎหมายประกาศใช้ล่าสุด และในส่วนความร่วมมือที่สำคัญกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของเราคือ ViMUT WELLNESS SERVICE ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของโรงพยาบาลวิมุต ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนอันดับต้นๆ ที่มีความครบครัน มีมุมมองในการดูแลผู้สูงอายุที่ตรงกันกับเรา โดยตระหนักถึงการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ใส่ใจถึงสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิต ต้องการให้การดูแลตั้งแต่ระยะก่อนเจ็บป่วยเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเมื่อเจ็บป่วยก็สามารถดูแลได้อย่างครบวงจร ทำให้เกิดการร่วมมือครั้งสำคัญในการจัดตั้ง 'SENERA ViMUT HEALTH SERVICE' โครงการศูนย์ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพสำหรับครอบครัวและผู้สูงอายุ โดยตั้งอยู่ภายในพื้นที่โครงการ SENERA SENIOR WELLNESS เพื่อบรรลุผลสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น โดยในส่วนของ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) นั้น นอกจากรับผิดชอบในส่วนของการจัดสรรพื้นที่ ทำเล และออกแบบก่อสร้างพัฒนาโครงการทั้งระบบแล้ว ยังรวมไปถึงส่วนรับผิดชอบการให้บริการต่างๆทั้งโปรเจกต์อีกด้วยครับ'

นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล กรรมการบริษัท วิมุต เวลเนส เซอร์วิส จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด ในเครือ พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวต่อว่า 'โรงพยาบาลวิมุต มีแผนการเติบโต เพื่อเป็น TRUSTED HEALTH & WELLNESS Platform โดยขยายงาน เริ่มจากโรงพยาบาลวิมุตที่เน้นการรักษาพยาบาลในรูปแบบโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ คือ รักษาโรคยาก ซับซ้อน และโรคทั่วไปได้ ต่อขยายโดยเปิดศูนย์ฟื้นฟู และดูแลสุขภาพของครอบครัว วิมุต เวลเนส เซอร์วิส อีกหลายๆแห่ง ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเป็นศูนย์สุขภาพทั้งส่วนคนไข้ใน คือ พักฟื้นฟู หลังผ่าตัด หรือ หลังการเจ็บป่วยด้วยโรคสมอง หัวใจ ที่ต้องการ การดูแลใกล้ชิด จนถึงอยู่พักยาวลักษณะ NURSING HOME ในลักษณะที่ต้องพึ่งพิงระดับสูง รวมทั้งมีบริการแบบผู้ป่วยนอก เช่น กายภาพบำบัด SENIOR DAY CARE และคลินิกทั่วไป ฯลฯ โดยมีอุปกรณ์เครื่องมือการดูแลผู้ป่วย มีบริการตรวจทางห้องปฏิบัติการการแพทย์ (Lab) เพื่อวินิจฉัยโรค และศูนย์กายภาพที่ให้บริการครบครัน เพื่อป้องกันโรค ฟื้นฟูสุขภาพ และให้การดูแลถึงบ้าน โดยจะนำระบบ Digital Health Technology มาสนับสนุนบริการให้เข้าถึงชุมชนให้มากขึ้น ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ทีมงานวิชาชีพทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ มีประสบการณ์ เพื่อสร้างบริการที่มีมาตรฐาน และเป็นสถานบริการที่พึ่งพิงได้ของทุกกลุ่มอายุ ทั้งครอบครัว โดยการขยายบริการศูนย์สุขภาพนี้ สอดคล้องกับแผนงานของ SENERA SENIOR WELLNESS ของบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) จึงเกิดความร่วมมือ จัดตั้ง SENERA ViMUT HEALTH CENTER เพื่อเป็นศูนย์บริการในโครงการ SENERA ที่คู้บอนเป็นแห่งแรก และมีแผนงานที่จะจัดตั้งบริการนี้ในโครงการ SENERA ที่กำลังขยายตัวต่อไปในอนาคตด้วย'

2183
BAY มองกรอบบาทสัปดาห์นี้ 33.15-33.65 จับตาเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก

กลุ่มงานโกล.มาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทว่า สัปดาห์นี้เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.15-33.65 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 33.28 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 32.73-33.31 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่ตลาดปรับตัวผันผวนตามกระแสข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ด้านธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) คงดอกเบี้ยไว้ตามคาด แต่ระบุว่าจะยุติโครงการซื้อสินทรัพย์ในไตรมาส 3 ซึ่งเร็วกว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้เดิม และเป็นการเปิดโอกาสสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้ สอดคล้องกับการปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อ โดยประธานอีซีบีกล่าวว่าสงครามในยูเครน ทำให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบจากการค้าระหว่างประเทศที่สะดุดลง รวมถึงความเชื่อมั่นที่อ่อนแอ ทั้งนี้ อีซีบีจะปิดโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme ภายในเดือนนี้ และระบุว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรภายใต้โครงการ APP ในอัตรา 40,000 ล้านยูโรในเดือน เม.ย.65, 30,000 ล้านยูโรในเดือน พ.ค.65 และ 20,000 ล้านยูโรในเดือน มิ.ย.65

อย่างไรก็ดี เงินยูโรขาดแรงหนุนหลังอีซีบีไม่ได้แสดงความกังวลต่อค่าเงินยูโรที่อ่อนลงแต่อย่างใด ส่วนเงินเยนแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อโลกเร่งตัว และธนาคารกลางหลักหลายแห่งหันมาคุมเข้มนโยบายแม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 676 ล้านบาท แต่มียอดขายพันธบัตรสุทธิ 40,372 ล้านบาท

กลุ่มงานโกล.มาร์เก็ตส์ฯ คาดว่า นักลงทุนจะยังคงติดตามสถานการณ์ในยูเครน และราคาพลังงาน รวมถึงการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 15-16 มี.ค. 65 ซึ่งคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 25bp โดยจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.61 ขณะที่ตลาดจะจับตาประมาณการดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่เฟด (Dot Plot) ซึ่งคาดว่าจะบ่งชี้ถึงการขึ้นดอกเบี้ย 4-5 ครั้งในปีนี้จาก 3 ครั้งที่เฟดเคยประเมินไว้ รวมถึงการแถลงข่าวของประธานเฟด นอกจากนี้ คาดว่าธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 25bp ในการประชุมวันที่ 17 มี.ค.65

สำหรับปัจจัยในประเทศ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงความเห็นถึงสถานการณ์ยูเครน-รัสเซียว่า นำมาซึ่งความผันผวนในตลาดการเงิน ค่าเงินบาทอ่อนลง โดยยังไม่สามารถประเมินในระยะถัดไปได้ว่าความขัดแย้งจะรุนแรงไปถึงขั้นใดซึ่งจะส่งผลต่อราคาน้ำมันและจะดันเงินเฟ้อไทยสูงขึ้น นอกจากนี้ การคาดการณ์ของธปท.ให้น้ำหนักไปที่นักท่องเที่ยวจากยุโรป แต่ภาวะสงครามเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว ขณะที่กรุงศรีมองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีนที่พุ่งขึ้นรอบใหม่ อาจบั่นทอน Sentiment เกี่ยวกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนเช่นกัน

2184
'ShopeePay' และ 'Shopee' สปอร์ตไลท์ 4 นักธุรกิจหญิงดาวรุ่งมาแรง เผยต้นแบบแห่งความสำเร็จบนโลกธุรกิจออนไลน์

'ShopeePay' (ช้อปปี้เพย์) ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินผ่าน Mobile Wallet แบบครบวงจรบนช้อปปี้ และ 'ช้อปปี้' ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ส่งต่อเรื่องราวของ 4 ผู้ประกอบการธุรกิจหญิงดาวรุ่งที่มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่โลกออนไลน์ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเดือนแห่งวันสตรีสากลประจำปี 2565 และวาระมหกรรมช้อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งแรกของปี 'Shopee 3.15 Consumer Day' เพื่อส่งเป็นพลังสนับสนุนผู้หญิงทุกคนในประเทศไทยให้เชื่อมั่นในศักยภาพความแข็งแกร่งของตัวเองและกล้าที่จะออกมาทำตามความฝัน พุ่งชนอุปสรรคความท้าทายต่าง ๆ จนสู่เส้นชัยแห่งความสำเร็จ

ถอดแนวคิด 4 ผู้หญิงแกร่งผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจชื่อดัง
คุณวทันยา อมตานนท์ Chief Product Officer ของเต่าบิน กับ Passion ความหลงใหลในกาแฟที่เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไกล

หากนึกถึงธุรกิจคาเฟ่อัตโนมัติ 24 ชั่วโมงที่เรียกได้ว่ามาแรงที่สุดในขณะนี้ จะเป็นแบรนด์ใดเป็นไม่ได้ นอกจาก 'เต่าบิน' ที่พัฒนาขึ้นมาด้วยฝีมือทีมงานชาวไทย โดยมีหัวเรืออย่าง คุณวทันยา อมตานนท์ Chief Product Officer แบรนด์ เต่าบิน นำทางความมุ่งมั่นในการส่งมอบเครื่องดื่มคุณภาพที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคทางด้านความสะดวกสบาย ราวกับยกคาเฟ่ไว้ใกล้บ้าน เพราะผู้บริโภคสามารถกดเครื่องดื่มที่ชื่นชอบแบบอัตโนมัติตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็น กาแฟสดบดใหม่ ชา เวย์โปรตีน และอื่น ๆ มากกว่า 170 เมนู ที่สามารถเลือกระดับน้ำตาล หรือแม้กระทั่งเลือกรับ/ไม่รับ หลอดและฝา เน้นความสะอาด และราคาที่ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยเข้าถึงได้ง่าย

"แรกเริ่มของแบรนด์เต่าบินเกิดขึ้นจากความชอบและความหลงใหลในรสชาติของกาแฟ เราจึงอยากแบ่งปันให้ทุกคนได้ลองชิมกาแฟและเครื่องดื่มเมนูอื่น ๆ ที่ผ่านความตั้งใจในการคิดค้นสูตรและคัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน เราเชื่อว่าการมีใจหลงใหลในสิ่งที่ทำจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายเร็วกว่าเดิม และมีแรงกายแรงใจในการบริหารธุรกิจให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งพอเรามีใจรักทางด้านเครื่องดื่มแล้ว ก้าวต่อไปคือจะทำอย่างไรให้เครื่องดื่มของเราสามารถไปนั่งในใจผู้บริโภคและตอบโจทย์ความต้องการได้ในทุกแง่มุม ซึ่งเราได้คิดค้นเทคโนโลยีสุดล้ำเพื่อฉีกกฎตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติแบบเดิม ๆ เพราะ 'ตู้เต่าบิน' สามารถควบคุมทุกขั้นตอนการชงเพื่อให้ได้มาซึ่งรสชาติที่อร่อยและสม่ำเสมอเหมือนกันทุกแก้ว ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าทุกแก้วที่เราเสิร์ฟจะได้คุณภาพและรสชาติอร่อยเหมือนแก้วแรกที่ได้ทานแน่นอน นอกจากนี้ เต่าบินยังได้นำเทคโนโลยีการชำระเงินดิจิทัล ShopeePay เข้ามาใช้ เปิดให้ผู้บริโภคสามารถชำระค่าเครื่องดื่มผ่าน ShopeePay บนตู้เต่าบินทุกตู้ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่ง ShopeePay มีฐานผู้ใช้งานที่กว้างขวาง และยังช่วยอำนวยความสะดวกสบายด้านการใช้จ่ายและรวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์ไตล์ของผู้บริโภคเต่าบินได้ตรงจุด"

คุณปิยะวดี จูฑะประชากุล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการขายธุรกิจค้าปลีก Beauty Buffet กับเคล็ดลับในการสร้างความหลากหลาย เพื่อเป็นจุดสำคัญในการมัดใจลูกค้า

แน่นอนว่าผู้หญิงทุกคนมีความปรารถนาอยากดูดีและสวยที่สุดในแบบของตัวเอง ซึ่ง 'เครื่องสำอาง' เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น คุณปิยะวดี จูฑะประชากุล ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการขายธุรกิจค้าปลีก Beauty Buffet ผู้นำธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวในระดับภูมิภาคภายใต้แนวคิด Live a beautiful life กล่าวว่า "จากที่ได้ทำงานและคร่ำหวอดในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมความสวยความงามมายาวนาน เราเล็งเห็นถึง Pain Points ของผู้บริโภคที่ต้องการเครื่องสำอางและสกินแคร์ที่หลากหลาย เพราะทุกคนต่างมีสไตล์การแต่งหน้าและสภาพผิวที่ไม่เหมือนกัน Beauty Buffet เข้าใจดีว่าผู้หญิงทุกคนชอบลองเครื่องสำอางใหม่ ๆ อยู่เสมอ Beauty Buffet จึงเป็นธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางที่มีให้เลือกหลากหลายประเภท โดยเราได้สร้างสรรค์แบรนด์และผลิตภัณฑ์คุณภาพมากมาย จัดจำหน่ายภายใต้ Beauty Buffet ให้ลูกค้าสามารถเลือกสรรได้อย่างมั่นใจและตรงกับความต้องการมากที่สุด"

"เพื่อส่งมอบความหลากหลายให้แก่ฐานผู้บริโภคที่กว้างขวางยิ่งขึ้น เราได้ร่วมมือกับ ShopeePay เพื่อผลักดันผู้บริโภคจากโลกออนไลน์สู่ออฟไลน์ อย่างในช่วงแคมเปญ Shopee 3.15 Consumer Day เราได้ส่งมอบโปรโมชั่น ShopeePay Vouchers 1 สตางค์ เพื่อให้นักช้อปแลกซื้อคูปองในฟีเจอร์ ShopeePay NEAR ME บนแพลตฟอร์มช้อปปี้ และนำไปใช้เป็นส่วนลดในการสแกนจ่ายสินค้าที่หน้าร้าน Beauty Buffet ส่งผลให้เกิด Traffic หน้าร้านค้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด"

ความซื่อตรงและจริงใจเป็นการสร้างคุณค่าที่แท้จริงในมุมมองของคุณวิไลวรรณ มณฑิราลัยพร เจ้าของ Trekkingcorner
ทางด้านของ คุณวิไลวรรณ มณฑิราลัยพร เจ้าของ Trekkingcorner ภายใต้บริษัท OUTDOOR VANTAGE (THAILAND) CO.,LTD. จัดจำหน่ายอุปกรณ์ แคมป์ปิ้ง ท่องเที่ยว และเดินป่า กล่าวว่า "จากสินค้าในร้าน Trekkingcorner หลายคนอาจจะมองว่าดูไม่เหมาะสมกับเจ้าของธุรกิจที่เป็นผู้หญิง แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร เราก็สามารถบริหารงานได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จได้ เพียงยึดถือความซื่อสัตย์และมอบความจริงใจให้กับลูกค้า Trekkingcorner หมั่นค้นหาสินค้าที่มีคุณภาพ ให้ความสำคัญในการจัดส่งตรงเวลา และช่วยแก้ทุกปัญหาให้กับลูกค้าของเราอย่างดีที่สุด ทำให้ Trekkingcorner ได้รับความเชื่อใจจากลูกค้าทั้งหน้าร้านค้าออฟไลน์และออนไลน์ เกิดการบอกต่อ ส่งผลให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว"

"อีกปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ดียิ่งขึ้น คือ การรู้จักใช้ช่องทางการขายที่ทรงคุณภาพ โดยเรามองเห็นการเติบโตของการขายสินค้าออนไลน์จึงเลือกเปิดร้านบนช้อปปี้ และทำงานร่วมกับทีมงานช้อปปี้ที่คอยดูแลให้คำแนะนำวิธีการทำการตลาดใหม่ ๆ อย่างใกล้ชิด ซึ่งเรามีการใช้เครื่องมือการตลาดเพื่อช่วยส่งเสริมการขาย ไม่ว่าจะเป็น Shopee Ads, Affiliate Link , Shopee Feed, Shopee Live, Google Shopping Ads รวมไปถึง Collaborative Performance Advertising Solution ทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้ลูกค้าเห็นสินค้าได้ในหลากหลายช่องทาง ซึ่งถือเป็น Key Succes ที่ช่วยผลักดันให้ร้านประสบความสำเร็จและมียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้น"

สร้างสรรค์สินค้าให้เป็นเพื่อนคู่ใจที่ดีที่สุด คือ หลักแนวคิดการทำธุรกิจของคุณรรินทร์ ทองมา ประธานกรรมการบริหารแบรนด์ โอ แอนด์ บี (O&B)

อีกหนึ่งผู้หญิงแกร่ง คุณรรินทร์ ทองมา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คริสติน่าเกรย์กรุ๊ป จำกัด หรือเป็นที่รู้จักในแบรนด์กระเป๋าและรองเท้า โอ แอนด์ บี (O&B) ได้กล่าวว่า "ในความหมายที่แท้จริงของ O&B คือ 'Other Best Friends' หรือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ ซึ่ง O&B ยึดเป็นแนวคิดการสร้างสรรค์และออกแบบสินค้า เรามุ่งมั่นสร้างสินค้าแฟชั่นอย่างรองเท้าที่สวมใส่สบาย ใช้งานง่าย สามารถหยิบมาใช้ได้ในทุกวัน เหมือนเพื่อนสนิทที่เคียงข้างเรา พร้อมออกเดินทางไปกับเราทุกที่ทุกเวลา O&B ไม่หยุดค้นหาไอเดียใหม่ ๆ มาพัฒนาสินค้าเพื่อให้ผู้หญิงได้เจิดจรัสในแบบฉบับของตัวเองในทุกก้าวที่สวยงามของชีวิต จวบจนปัจจุบันที่ O&B สามารถสร้างชื่อเสียงโด่งดังในประเทศไทย และกลายเป็นที่รู้จักและนิยมในหมู่นางแบบ อินฟลูเอนเซอร์ และแฟชั่นไอคอนระดับโลก"

"นอกจากหลักแนวคิด 'Other Best Friends' ที่นำมาใช้ในการพัฒนาสินค้าแล้ว เราเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต คือ พาร์ทเนอร์ธุรกิจที่ดีเช่นกัน การทำการตลาดร่วมกับช้อปปี้ผ่านการใช้เครื่องมือการตลาดต่าง ๆ เช่น Shopee Live และ Shopee Feed ช่วยให้ร้านค้าสามารถแชร์คอนเทนต์เพื่อซื้อขายบน Shopee Community และถูกโปรโมทไปในวงกว้าง รวมถึงการเข้าร่วมแคมเปญพิเศษกับช้อปปี้ทุกเดือนเพื่อเป็นการมอบสีสันและความคุ้มค่าส่งคืนกลับไปให้ลูกค้า และยังเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันยอดขาย พร้อมช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตในโลกออนไลน์อย่างก้าวกระโดด"

ShopeePay และ Shopee เชื่อมั่นว่าผู้หญิงทุกคนมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ในทุกมิติ และขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นกระบอกเสียงเพื่อส่งต่อพลังบวกแก่ผู้นำธุรกิจและผู้ประกอบการหญิงให้มีความมั่นใจ พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อความสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น และตั้งใจ เพราะผู้หญิงทุกคนสามารถสร้างผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ธุรกิจได้จากการเริ่มลงมือทำ

Pages: 1 ... 144 145 [146]